วันศุกร์, 29 มีนาคม 2567

อสม.ร้องทุกข์โดนชาวบ้านแจ้งจับกล่าวหาพาดพิงติดโควิด เรียกเงินค่าเสียหาย 5,000 บาท

  เมื่อวันที่ 5 พ.ค.64   ผู้สื่อข่าวเดินทางติดตาม อสม.ร้องทุกข์โดนชาวบ้านแจ้งจับกล่าวหาพาดพิงติดโควิด หลังเตือนกลุ่มเสี่ยงใกล้ชิดคนป่วยเฝ้าระวังตนเอง หลังจากเข้าใกล้คนป่วยที่กลับจาก มหาสารคาม แล้วเกิดมีไข้ น้ำมูกไหล เตือนให้ไปตรวจ กลับโดนแจ้งความเรียกเงินค่าเสียหาย 5,000 บาทในขณะที่ประธาน อสม.อำเภอ ประกาศยืนยันไม่ผิด จะสู้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดบรรทัดฐานว่า ทำหน้าที่บริสุทธิ์ใจแล้วถูกดำเนินคดี ซึ่งต่อไปจะทำให้คนทำงานท้อใจ

เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 64 ผญบ.ประกาศให้เฝ้าระวังคัดกรองกลุ่มเสี่ยงเพราะมีคนในพื้นที่ติดเชื่อโควิด19 ต่อมา นายไชยา โชกะตะ นายกสมาคม อสม. อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด และนายขวัญชัย สุดเฉลียว ประธาน อสม.หมู่ที่ 8 บ้านจ้อก้อ ต.หน่อม ประชุมร่วมกับ อสม. 15 เขตของบ้านจ้อก้อ ที่บ้าน ของนางทองเกตุ วินทะชัย รองประธาน อสม.บ้านจ้อก้อ ที่บ้านเลขที่ 83  ม.8  บ้านจ้อก้อ เพื่อหาทางออก อันสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ อสม.ด้วยการเดินแจ้งเตือนชาวบ้าน ในเขตรับผิดชอบ  ตามการแจ้งเตือนของผู้ใหญ่บ้าน เนื่องจาก มีผู้ป่วยติดเชื้อ ที่เป็นนักศึกษา จาก มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ติดเชื้อ จ.มหาสารคาม เดินทางกลับบ้าน มาอยู่บ้าน 7 วัน พบว่าติดเชื้อแล้ว รถโรงพยาบาลอาจสามารถมารับตัวส่งไป รักษาตัวในรพ.สนาม ร้อยเอ็ด แล้ว แต่ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาตัวในรพ.สนาม คนป่วยรายดังกล่าวได้ปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้านจำนวนมาก ทั้งในครอบครัว แม่บ้าน และชาวบ้าน เกรงว่าจะแพร่กระจายเชื้อ

      นางทองเกตุ วินทะชัย  รองประธาน  (ที่โดนแจ้งจับกล่าวหาพาดพิง) และ อสม.ลงพื้นที่ทำหน้าที่คัดกรอง สังเกตการณ์ เฝ้าระวัง ในเขต ที่แต่ละคนรับผิดชอบ ทั้งหมดมี 15 เขต ในหมู่บ้าน อย่างเข้มข้น ซึ่งได้รับข้อมูลจาก อสม.ด้วยกันว่า มีความผิดปกติ ในตัวลูกสาว ของแม่บ้าน ที่ทำงานในบ้านของผู้ป่วย แจ้งว่า ลูกสาวของแม่บ้าน มีอาการผิดปกติ มีอาการข้างเคียง ตัวร้อนเป็นไข้สูง อาการเหมือนคนติดเชื้อ นางทองเกตุ จึงแจ้งว่าให้มีการกักตัวเพื่อรอดูอาการ และเตือนชาวบ้านว่า อย่าได้ คลุกคลีเข้าใกล้ จนกว่าจะมีผลตรวจคัดกรอง และกักตัวครบ 14 วันก่อน เพื่อป้องกันการระบาดในหมู่บ้านตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข

***ซึ่งปรากฏว่าการแจ้งเตือนด้วยวาจาของ อสม. ที่พาดพิงถึง ลูกของแม่บ้านที่ทำงานในบ้านคนป่วย ทำให้ไม่พอใจไปแจ้งกับ ผู้ใหญ่บ้านว่าจะเอาเรื่องกับ อสม.ที่พาดพิงถึงลูกสาวให้เสียหาย และเรียกมาเจรจา และจะขอค่าเสียหายจากการที่ไปพาดพิงถึงลูกสาวให้เสียหาย โดยที่อาการดังกล่าวยังไม่สามารถพิสูจน์ชัดว่าลูกสาวป่วย ด้วยการเรียกเงิน 5000 บาท แต่ตกลงกันไม่ได้ นำไปสู่การเข้าแจ้งความ กับ ร.ต.อ.คำผง สุนะไตร พนักงานสอบสวน สภ.หน่อม อ.อาสามารถ ในวันที่ 23 เมษายน 64  เพื่อยืนยันเรียกเงิน 5000 บาทเป็นค่าเสียหาย

***หลังจากทราบเหตุและเรียกพบของพนักงานสอบสวน นายไชยา โชกะตะ นายกสมาคม อสม.อ.อาจสามารถ และนายขวัญชัย สุดเฉลียว ประธาน อสม.หมู่ที่ 8 ได้เดินทางไปพร้อมกับนางทองเกตุ วินทะชัย ที่ถูกแจ้งความเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อเจรจา และยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นการทำหน้าที่ ของ อสม.ในการแจ้งเดือนเฝ้าระวังชาวบ้าน ไม่ให้ใกล้ชิดกับกลุ่มสุ่มเสี่ยง ที่ใกล้ชิดกับบ้านกำลังที่มีผู้ป่วย จนกว่าจะคัดกรองชัดเจนก่อน และยอมรับว่ามีการเอ่ยพาดพิง และเอ่ยถึงชื่อจริง  โดยพูดเพียงแค่ว่า ให้ระวังอย่าเข้าใกล้ เพื่อความปลอดภัย จนกว่าทุกอย่างจะชัดเจน  ซึ่งตนถือว่าคือการทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ

***นายไชยา โชกะตะ นายกสมาคม อสม.อ.อาจสามารถ กล่าวว่า ตนเอง ได้ศึกษาข้อเท็จจริง และรายละเอียดทุกอย่างของเหตุทีเกิดขึ้น ตั้งแต่การเจรจากัน ผู้ใหญ่บ้าน ในวันที่ 23 เมษายน ตกลงกันไม่ได้โดยผู้ใหญ่บ้าน ขอให้ ขอโทษแต่ไม่ยอมจะเอา เงิน 5000 บาทให้ได้ ต่อมามีการเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน และนัดเจรจาว่าควรจ่ายเงินหรือไม่  ซึ่งตนขอไม่ให้จ่ายเงินให้ทันที เชื่อว่าไม่ใช่ความผิด เพราะเป็นแค่การแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังตามหน้าที่ของ อสม. โดยขอปรึกษาหมอ รพ.สต  และเจ้าหน้าที่ระดับสูงระดับจังหวัดก่อน ที่จะตกลงกัน  ถ้าหากยอมจ่ายเงิน ก็จะกลายเป็นบรรทัดฐาน ที่จะส่งผลกระทบต่อภาพการทำงานของ อสม.ที่เสียสละ เสี่ยงทำงานเพื่อสาธารณะ และคุ้มครองประชาชนในชุมชนของตนเอง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่กลับถูกดำเนินคดี ตนยืนยันว่าการเรียกเงินเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง   และจะสู้เพื่อความถูกต้องจนถึงที่สุด

      จากนั้น ผู้สื่อข่าวได้เดินทาง ไปที่ สภ.หน่อม อ.อาจสามารถ เพื่อตืดตามความคืบหน้าของคดี ที่แจ้งความไว้กับ ร.ต.อ.คำผง สุนะไตร พนักงานสอบสวน สภ.หน่อม ทราบว่า อยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนข้อเท็จจริง จากพยานทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง และมีการแนะนำว่า ให้เจราจาไกล่เกลี่ยกัน เพื่อหาข้อยุติ แต่อีกฝ่ายยืนยันว่าจะเรียกเงิน 5000 บาท ก็เป็นสิทธิ์ ของผู้ที่อ้างว่าเสียหาย ที่เรียกเจรจากันแล้ว ตกลงกันไม่ได้ ซึ่งจะนัดมาเจราจาไกล่เกลี่ยกันอีกครั้ง เพื่อหาข้อยุติ หากยังยืนยันว่าจะเรียกเงินก็จะดำเนินการให้ตามหน้าที่และสั่งฟ้องต่อไป.

****สำหรับเหตุดังกล่าวนี้ ก่อนหน้านี้  มีการโพสต์เรื่องราวทางโซเชียล เป็นเฟสบุ๊คของ นายไชยยา  โชกะตะ  ว่า

 สตอรี่ ดราม่า มักตามมาติดๆ ในช่วงวิกฤตเวลาพวกเราทำงาน

   วันนี้ที่ สถานีตำรวจภูธรแห่งหนึ่ง ผมได้มีโอกาสไป Save อสม.ที่ปฏิบัติหน้าที่ ในบทบาทของผู้ช่วยเจ้าพนักงานควบคุมโรค ที่ต้องสุ่มเสี่ยงในการลงพื้นที่ คอยคัดกรอง และแจ้งเบาะแสแหล่งรังโรคต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุข..สุดท้าย อสม.ท่านนั้นถูกแจ้งทุกข์กล่าวโทษว่า การให้ข่าวนั้นทำให้ชาวบ้านเขาเสียหาย ถึงได้มีการเรียกค่าเสียหายกับ อสม.ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ที่คอยรายงานโรค ด้วยเงินจำนวนหนึ่ง เป็นค่าเสียหายหรือค่าตกใจ

   ด้วยความเคารพ การสื่อสารหรือการแจ้งข่าวนั้นคือหน้าที่ของพวกผม วิกฤตแบบนี้ท่านยังมาคิดถึงเรื่องหมิ่นประมาทได้เนาะ และผลก้อยืนยันว่าคนในครอบครัวท่านก้อติดเชื้อจริงๆ หน้าที่ อสม.เราก้อต้องตรวจเช็คและรายงานตามความเป็นจริง แล้วจะหาว่าเขาหมิ่นประมาทได้อย่างไร ถ้าเป็นผมนะ ผมยิ่งจะขอบคุณ อสม.คนนั้นด้วยซ้ำไป อสม.ทำงานรับค่าป่วยการเดือนละ 1000 ไหนจะต้องหักค่าโน่นนี่นั่น เหลือไม่กี่บาท ยังจะต้องมาเสียค่าปรับกรณีหมิ่นประมาทให้ท่านอีก ผมเห็นแล้วผมสงสารพี่น้อง อสม. เนื้อไม้ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ยังเอากระดูกมาแขวนคออีก เห็นใจคนทำงาน คนเสียสละเถอะครับ

    บทสรุป เขาก้อจะเอาเงินอย่างเดียว ผมและพี่น้อง อสม.ก้อไม่ยอม แต่ถ้ายอมนะ มันจะเป็นบรรทัดฐานที่ไม่ดี จึงจำเป็นต้องต่อสู้กันในรูปคดี ผมขอยืนเคียงข้าง พี่น้อง อสม.ผม เพราะเขาคือผู้ช่วยพนักงานเจ้าหน้าที่ควบคุมโรค ตาม พรก.ควบคุมโรค

อสม.ขอ ร้องทุกข์โดนชาวบ้านแจ้งจับกล่าวหาพาดพิงติดโควิดหาพาดพิงติดโควิดต้องการเงิน ๕พันบาท ประธานอสม.ยันสู้ถึงที่สุด เพราะเป็นการทำหน้าที่เพื่อปกป้องสังคมกลับมาแจ้งจับเรียกเงิน วอนผู้เกี่ยวข้องช่วยเหลือให้ความเป็นธรรม

//////////////////////////

โชติกา  ทวนชัยภูมิ/ภาพ/ข่าว

0956628047